ผู้อำนวยการสถานีพัฒนาที่ดินลำพูน กล่าวว่าประเทศไทยประสบปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งสาเหตุหนึ่งเกิดจากการเผาวัสดุทางการเกษตรและพื้นที่ป่าไม้ เพื่อเตรียมแปลงปลูกพืชในฤดูถัดไป ซึ่งการเผาเศษวัสดุทางการเกษตรเป็นการสร้างมลพิษทางอากาศนำไปสู่ภาวะโลกร้อน พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม สูญเสียอินทรียวัตถุและธาตุอาหารในดิน ทำลายโครงสร้างดินที่เหมาะสม และทำลายห่วงโซ่อาหาร

กรมพัฒนาที่ดินเป็นหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งส่งเสริมให้เกษตรกรลด ละ เลิก การเผาเศษวัสดุทางการเกษตร จึงได้จัดงาน “ไถกลบตอซัง สร้างดินยั่งยืน ฟื้นสิ่งแวดล้อม” ขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักให้เกษตรกรทำเกษตรกรรมที่ไม่เผาฟางและตอซังพืช ช่วยให้คุณสมบัติ ของดินดีไม่ถูกทำลาย เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน และสามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืน รวมทั้งช่วยลดปัญหาหมอกควันและ ฝุ่นละออง และลดผลกระทบต่อการเกิดภาวะโลกร้อนและจากการร่วมมอบนโยบายในการปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ได้ขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนร่วมงดการเผาในพื้นที่ 365 วัน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต 4 เดือนนี้ ในภาคของการเกษตรปัญหาการเผาตอซังและเศษวัสดุการเกษตรถือเป็นปัญหาหลักในการก่อให้เกิดหมอกควัน จึงตระหนักและขับเคลื่อนนโยบายลดการเผาพื้นที่ภาคการเกษตร โดยการสนับสนุนให้เกษตรกรไถกลบตอซัง และนำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาทำปุ๋ยหมัก ซึ่งในการดำเนินงานในพื้นที่อำเภอทุ่งหัวช้างมีเป้าหมายการไถกลบตอซังให้เกษตรกรจำนวน 100 ไร่ และจัดทำปุ๋ยหมักจำนวน 10 กิโลกรัม เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรลดการเผา

ด้านผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน กล่าวว่า จากสภาพปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองในจังหวัดลำพูนอยู่ในสภาวะรุนแรงอย่างต่อเนื่องในทุกปี เนื่องจากลักษณะสภาพภูมิประเทศเป็นแอ่ง ทำให้มีความกดอากาศต่ำ อัตราการระบายอากาศของจังหวัดลำพูน มีค่าต่ำกว่าจังหวัดอื่น โดยอยู่ในระดับ “ไม่ดี” มีอากาศปิดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การระบายฝุ่นละอองเป็นไปได้อย่างจำกัด และเกิดการสะสมได้ง่าย จึงมีหมอกควันปกคลุมอย่างหนาแน่น ทัศนวิสัยการมองเห็นในระยะใกล้ไม่ดีและหากไม่สวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่นละออง จะทำให้เกิดปัญหา ด้านสุขภาพตามมา

ในส่วนของปัญหาหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ภาคการเกษตรนั้น สาเหตุเกิดจากการเผาเศษวัสดุ ทางการเกษตร เพื่อเตรียมแปลงปลูกพืชในฤดูถัดไป การเผาตอซังและเศษพืชที่เกษตรกรทิ้งหลังเก็บเกี่ยวจะทำให้เกิดการสูญเสียอินทรียวัตถุ และธาตุอาหารในดินทำลายโครงสร้างดินที่เหมาะสม สร้างมลพิษทางอากาศ นำไปสู่ภาวะโลกร้อนรวมทั้ง ยังสร้าง ความเสียหายทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ กรมพัฒนาที่ดินได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมให้บรรลุ ตามเป้าหมายการลดการ ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ.2613 ตามที่ได้ให้คำมั่นไว้ในเวทีโลก โดยใช้กระบวนการไถกลบตอซังพืชแทนการเผา ช่วยลดปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการเผาวัสดุทางการเกษตร ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสร้างสุขภาพที่ดีให้แก่ประชาชน.